จุดเริ่มต้นและการเติบโตของบริการ Self-Storage

บริการ Self-Storage หรือบริการเก็บของส่วนบุคคลเริ่มต้นในช่วงปลายทศวรรษที่ 1960 ในสหรัฐอเมริกา โดยแนวคิดนี้เกิดขึ้นจากความต้องการของประชาชนที่ต้องการที่เก็บของส่วนตัวอย่างมีระเบียบ และสามารถเข้าถึงได้ตลอดเวลา จุดเริ่มต้นของบริการนี้เกิดขึ้นในเมือง Texas ซึ่งมีการพัฒนาพื้นที่ให้เช่าที่เก็บของที่สามารถเปิดประตูเข้าถึงได้ตลอด 24 ชั่วโมง โดยไม่จำเป็นต้องมีพนักงานคอยให้บริการตลอดเวลา ผู้ใช้บริการสามารถจัดการสิ่งของภายในพื้นที่ของตนเองได้

การเติบโตของบริการ Self-Storage เริ่มเห็นได้อย่างชัดเจนในช่วงทศวรรษที่ 1980 และ 1990 เมื่อมีการขยายตัวของตลาดในเมืองต่างๆ ทั้งในสหรัฐอเมริกาและทั่วโลก ข้อมูลจาก Statista ระบุว่าในปี 2023 ตลาด Self-Storage ในสหรัฐอเมริกามีมูลค่าประมาณ 50,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และยังคงมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง

ข้อมูลสถิติและงานวิจัยเกี่ยวกับบริการ Self-Storage

  1. การเติบโตของตลาด: ข้อมูลจาก IBISWorld ระบุว่าในปี 2024 ตลาดบริการ Self-Storage ในสหรัฐอเมริกาคาดว่าจะเติบโตขึ้น 4.2% ต่อปี โดยมูลค่าตลาดรวมจะเพิ่มขึ้นจาก 39,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2019 เป็นมากกว่า 50,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2024
  2. พฤติกรรมผู้บริโภค: งานวิจัยจาก Self Storage Association (SSA) พบว่า 65% ของผู้ใช้บริการ Self-Storage ใช้บริการเก็บของเพื่อเก็บสิ่งของที่ไม่จำเป็นต้องใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น เฟอร์นิเจอร์เก่า หรือของที่ใช้ตามฤดูกาล เช่น สกี หรือเต็นท์แคมป์ปิ้ง ขณะที่ 25% ใช้บริการเพื่อเก็บสินค้าสำหรับธุรกิจหรือการจัดเก็บสินค้าชั่วคราว
  3. การขยายตัวในระดับโลก: แม้ว่าบริการ Self-Storage จะเริ่มต้นในสหรัฐอเมริกา แต่ปัจจุบันบริการนี้ได้ขยายตัวไปยังหลายประเทศทั่วโลก โดยเฉพาะในยุโรปและเอเชีย เช่น ประเทศญี่ปุ่นและจีน ซึ่งมีความต้องการพื้นที่เก็บของเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

อนาคตของบริการ Self-Storage
การเติบโตของบริการ Self-Storage ยังคงต่อเนื่อง โดยมีการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยเพิ่มความสะดวกสบายในการใช้งาน เช่น การใช้แอปพลิเคชันในการจัดการพื้นที่เก็บของ การใช้ระบบล็อกดิจิทัลเพื่อเพิ่มความปลอดภัย และการใช้เซ็นเซอร์ในการตรวจจับการเคลื่อนไหวเพื่อป้องกันการขโมย

การใช้บริการ Self-Storage กำลังเติบโตในหลายประเทศทั่วโลก โดยบางประเทศมีการใช้งานอย่างแพร่หลายมากกว่าประเทศอื่นๆ ซึ่งสามารถจัดอันดับประเทศที่มีการใช้งาน Self-Storage มากที่สุดได้ดังนี้:

  1. สหรัฐอเมริกา
    อันดับ 1: สหรัฐอเมริกายังคงเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมบริการ Self-Storage โดยมีพื้นที่เก็บของส่วนบุคคลที่มากที่สุดในโลก ข้อมูลจาก Self Storage Association (SSA) พบว่าในสหรัฐฯ มี มากกว่า 50,000 แห่ง ที่ให้บริการ Self-Storage คิดเป็นตลาดมูลค่ากว่า 50,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2023
    สหรัฐฯ ยังมีแนวโน้มที่จะเติบโตต่อไป เนื่องจากการขยายตัวของเมืองใหม่ๆ และจำนวนครัวเรือนที่เพิ่มขึ้น ซึ่งต้องการพื้นที่เก็บของที่บ้านไม่เพียงพอ
  2. ออสเตรเลีย
    อันดับ 2: ออสเตรเลียเป็นประเทศที่มีการใช้งาน Self-Storage ค่อนข้างสูง โดยเฉพาะในเมืองใหญ่เช่น ซิดนีย์ และ เมลเบิร์น การเติบโตของตลาด Self-Storage ในออสเตรเลียได้รับการสนับสนุนจากการขยายตัวของประชากรเมืองและตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่มีราคาสูง
    ข้อมูลจาก IBISWorld ระบุว่าในปี 2024 มูลค่าตลาด Self-Storage ของออสเตรเลียคาดว่าจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีจำนวนที่เก็บของส่วนบุคคลที่สูงขึ้นในปีที่ผ่านมา
  3. สหราชอาณาจักร
    อันดับ 3: สหราชอาณาจักรมีการใช้งานบริการ Self-Storage อย่างกว้างขวาง โดยมีจำนวนสถานที่เก็บของที่เพิ่มขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ข้อมูลจาก The Self Storage Association UK พบว่ามี กว่า 1,500 แห่ง ที่ให้บริการ Self-Storage ทั่วประเทศ
    แนวโน้มการเติบโตของธุรกิจนี้ในสหราชอาณาจักรคาดว่าจะยังคงเพิ่มขึ้น เนื่องจากประชากรที่มีความต้องการพื้นที่เก็บของมากขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงในรูปแบบการใช้ชีวิตและการทำงาน
  4. ญี่ปุ่น
    อันดับ 4: ญี่ปุ่นเป็นอีกหนึ่งประเทศที่มีการใช้งานบริการ Self-Storage มากขึ้น เนื่องจากที่อยู่อาศัยในเมืองใหญ่ เช่น โตเกียว และ โอซาก้า มีพื้นที่จำกัด และการเก็บของภายในบ้านมีความยากลำบาก จึงทำให้ตลาด Self-Storage ขยายตัว
    ในญี่ปุ่น ตลาด Self-Storage เติบโตได้ดีในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะการบริการสำหรับผู้ที่ต้องการเก็บสิ่งของที่ไม่ใช้ในชีวิตประจำวัน
  5. จีน
    อันดับ 5: ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา จีนเริ่มมีการเติบโตของบริการ Self-Storage โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ เช่น เซี่ยงไฮ้ และ ปักกิ่ง ที่มีประชากรหนาแน่นและที่อยู่อาศัยมีพื้นที่จำกัด
    แม้ว่าตลาด Self-Storage ในจีนจะยังค่อนข้างใหม่เมื่อเทียบกับประเทศอื่น แต่การเติบโตของเศรษฐกิจและการขยายตัวของเมืองทำให้การใช้บริการนี้เริ่มมีมากขึ้น
    แนวโน้มการเติบโตของธุรกิจ Self-Storage
    การขยายตัวในตลาดเกิดใหม่: การเติบโตของเมืองในประเทศกำลังพัฒนา เช่น อินเดีย และ บราซิล กำลังเป็นที่สนใจของธุรกิจ Self-Storage เนื่องจากความต้องการพื้นที่เก็บของส่วนบุคคลในเมืองที่มีการขยายตัว

งานวิจัยจาก CBRE ระบุว่าตลาดในเอเชียแปซิฟิกคาดว่าจะเติบโตอย่างรวดเร็ว เนื่องจากประชากรในเมืองมีความหนาแน่น และการขยายตัวของการใช้ชีวิตในเมืองเพิ่มขึ้น
เทคโนโลยีและนวัตกรรม: การใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการเพิ่มประสิทธิภาพ เช่น การใช้แอปพลิเคชันในการจัดการพื้นที่เก็บของ หรือการใช้ระบบล็อกดิจิทัลและเซ็นเซอร์อัจฉริยะเพื่อเพิ่มความสะดวกสบายและความปลอดภัยให้กับผู้ใช้บริการ

เทคโนโลยีเหล่านี้จะช่วยให้การบริการ Self-Storage มีประสิทธิภาพมากขึ้น และดึงดูดผู้ใช้บริการในอนาคต
การขยายบริการจากการเก็บของส่วนบุคคลไปสู่ธุรกิจ: หลายธุรกิจเริ่มหันมาใช้บริการ Self-Storage เพื่อจัดเก็บสินค้าหรือวัสดุที่ไม่จำเป็นต้องอยู่ในพื้นที่สำนักงานหรือโรงงาน เช่น ธุรกิจออนไลน์ที่ต้องการพื้นที่เก็บสินค้าจำนวนมาก

ข้อมูลจาก Statista คาดว่าในอนาคตจะมีการขยายตัวของบริการ Self-Storage สำหรับธุรกิจเพิ่มขึ้นอย่างมาก
ในภาพรวม, ธุรกิจ Self-Storage ยังคงมีแนวโน้มการเติบโตที่ดีในอนาคต เนื่องจากความต้องการที่เพิ่มขึ้นในหลายประเทศและการพัฒนาทางเทคโนโลยีที่จะทำให้บริการนี้สะดวกและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น

.

เขียนโดย: Miss Latte

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *